
ธุรกิจ B2B (Business-to-Business) คือธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าที่เป็นภาคธุรกิจเหมือนกัน ซึ่งลักษณะการทำการตลาดของธุรกิจแบบ B2B ก็จะต่างจากธุรกิจแบบ B2C (Business-to-Consumer) เพราะลูกค้ามีกระบวนการตัดสินใจที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ลูกค้าที่เป็นผู้บริโภค มักตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการจากความชอบ พฤติกรรมการใช้ส่วนตัว รสนิยม โปรโมชั่นลดแลกแจกแถม ซึ่งหากตัวลูกค้าเองรู้สึกพอใจ ก็สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องขอความเห็นจากใคร แต่ลูกค้าที่เป็นภาคธุรกิจหรือเป็นองค์กร การตัดสินใจซื้อจะซับซ้อนกว่า ต้องคิดถึงผลตอบแทนการลงทุนเป็นหลัก ประโยชน์ใช้สอยระยะยาว มาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้าง เงื่อนไขเครดิตเทอม สิทธิประโยชน์ทางภาษี ไปจนถึงคอนเนคชั่นที่มีต่อคู่ค้า
ในยุคที่การตลาดออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็น ธุรกิจ B2B หลายเจ้าอาจจะยังลังเลว่า Online Marketing จะเหมาะกับธุรกิจของตัวเองหรือไม่ การลงโฆษณาอย่างที่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคทำจะได้ผลไหม และเครื่องมือตลาดออนไลน์แบบไหนที่จะสร้างยอดขายได้จริง ไม่ใช่แค่สร้าง Awareness อย่างเดียว วันนี้ MatchLink จะมาไกด์ให้ครับว่าการตลาดออนไลน์ฉบับ B2B แบบไหนที่เวิร์กจริง ได้ลูกค้าจริง ไม่เสียเงินเปล่าแน่นอน
1. สร้างโปรไฟล์ในฐานข้อมูลนิติบุคคล
กุญแจสำคัญของธุรกิจ B2B คือความน่าเชื่อถือ ถ้าทำธุรกิจรูปแบบบริษัท ก็จำเป็นต้องมีหลักแหล่งและมีข้อมูลติดต่อที่เป็นปัจจุบันอยู่บนฐานข้อมูลนิติบุคคลที่เชื่อถือได้ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงเข้าไปในแอปพลิเคชั่น MatchLink เสิร์ชหาชื่อบริษัทของคุณ แล้วกด “เคลมหน้าธุรกิจ” เพื่ออัพโหลดเอกสารหลักฐานความเป็นเจ้าของ เพียงเท่านี้ก็สามารถแก้ไขข้อมูลติดต่อ เพิ่มภาพโลโก้ ข้อมูลรางวัล และการรับรองต่าง ๆ ได้ ลูกค้าเสิร์ชหาจาก Google เจอง่ายขึ้น เข้าถึงคนได้นับล้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
2. เว็บไซต์ต้องพร้อมรับลูกค้า
บางธุรกิจมีหน้าเว็บไซต์ของตัวเองแล้ว แต่ข้อมูลบนเว็บไม่พอให้ลูกค้า B2B ตัดสินใจ เช่น บอกข้อมูลสินค้าหรือบริการแค่นิดเดียว ไม่มีเงื่อนไขเรื่องการจัดส่ง ไม่มีข้อมูลการรับประกันหรือบริการหลังการขาย แบบนี้แม้ว่าคนที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าเข้ามาถึงในเว็บแล้ว ก็อาจจะเสียโอกาสไปได้ ฉะนั้นต้องปรับเว็บไซต์ให้เอื้อกับการตัดสินใจให้มากที่สุด ศึกษาว่าลูกค้าของคุณเป็นใคร พวกเขาสนใจข้อมูลอะไร ไปจนถึงเพิ่มฟีเจอร์ให้คนเข้ามากรอกฟอร์มขอข้อมูลเพิ่มเติม ขอใบเสนอราคา หรือทิ้งข้อมูลให้ติดต่อกลับได้ ในกรณีที่ลูกค้ายังไม่สะดวกที่จะโทรหาเอง
3. SEO / SEM ต้องมี
SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) คือการทำคอนเทนต์หรือจ่ายเงินซื้อโฆษณา (Google AdWords) เพื่อให้หน้าเว็บขึ้นอันดับต้น ๆ ของ Google Search ซึ่งคนที่คลิกเข้าหน้าเว็บมาผ่านช่องทางนี้ จะมีโอกาสซื้อสูง เพราะมีเจตนาจะค้นหาอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีเว็บไซต์ที่พร้อมแล้ว ก็ควรดึงดูดคนลูกค้าใหม่ ๆ ให้มาถึงหน้าเว็บผ่าน Google ด้วย
4. ใช้ Social Media ให้เหมาะกับจุดประสงค์
หลายคนบอกว่า Social Media ไร้ประโยชน์กับธุรกิจ B2B ซึ่งไม่จริงเสมอไป เพียงแต่ต้องเลือกใช้ให้ถูกกับวัตถุประสงค์เท่านั้น เช่น
- ใช้ Facebook ในการสร้าง Community โปรโมตให้คนคลิกเข้าหน้าเว็บ หรือโทรสอบถามกับพนักงานขาย
- ใช้ Instagram ในการสร้างภาพลักษณ์ เน้นโชว์ภาพมากกว่าข้อความยาว ๆ
- ใช้ Youtube ในการสาธิตสินค้า ตอบโจทย์คนที่กำลังหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
- ใช้ MatchLink ในการสร้างคอนเนคชั่น สร้างความน่าเชื่อถือ หาคู่ค้าและลูกค้าใหม่ ๆ
จะเห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้อาจไม่ได้ปิดการขายได้ในตัวมันเอง แต่สามารถเป็น “แผงโชว์ของ” และ “ประตู” ที่ดีในการพาลูกค้ามาส่งในจุดที่คุณสามารถปิดการขายได้จริง
5. ใช้สื่อออนไลน์สนับสนุนออฟไลน์
การตลาดออฟไลน์อย่างการออกบูธ หรือใช้พนักงานขาย ยังคงเป็นวิธีที่ดีสำหรับ B2B ซึ่งในจุดนี้เราสามารถใช้สื่อออนไลน์มาสนับสนุนออฟไลน์ได้ เช่น ใช้ Social Media โปรโมตบูธของตัวเองในงาน ลงโฆษณาชักชวนให้คนโทรมาสอบถามกับพนักงาน เป็นต้น
สำหรับธุรกิจ B2B และ B2C ที่อยากเข้าถึงลูกค้าและคู่ค้าใหม่ ๆ ได้คอนเนคชั่นเพิ่ม ได้ความน่าเชื่อถือ รวมถึงได้โอกาสกู้สินเชื่อง่าย ๆ ก็สามารถเข้ามาเคลมหน้าธุรกิจของคุณบนแอปพลิเคชั่น MatchLink ได้เลย ดาวน์โหลดแอพ MatchLink ฟรีได้ที่นี่ครับ
iOS >>> http://bit.ly/IosDownloadMatchLink
Android >>> http://bit.ly/AndroidDownloadMatchLink